ผู้เขียน หัวข้อ: รู้เท่าทัน ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)  (อ่าน 14 ครั้ง)

siritidaphon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 908
    • ดูรายละเอียด
รู้เท่าทัน ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)
« เมื่อ: 18 กันยายน 2025, 20:52:25 pm »
รู้เท่าทัน ไวรัสตับอักเสบบี (HBV)

โรคตับอักเสบ คืออะไร?

     ตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ  ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ไวรัสตับอักเสบมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบจะทำให้เซลล์ตับตายหากปล่อยให้เรื้อรังจะเกิดพังผืดอาจทำให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) ติดต่อกันอย่างไร?

    การติดเชื้อที่พบบ่อย คือการถ่ายทอดจากมารดาที่ติดเชื้อสู่ทารก แต่ในปัจจุบันจดลดลงมาก เพราะการฉีดวัคซีนให้ทารกที่คลอดมาจะช่วยป้องกันได้เกือบร้อยละ 100 ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อถ้าติดจากมารดาและเกิดก่อน พ.ศ. 2535 ในวัยผู้ใหญ่ เช่น อาจมีการติดเชื้อจากสาเหตุอื่นๆ
    มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ได้ป้องกัน ซึ่งไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอดส์
    การสัก เจาะหูหรือการฝังเข็มโดยอุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง
    การได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือดที่ไม่จำเป็น ก็อาจเป็นสาเหตุได้ แต่พบได้น้อยมากในการตรวจกรองของธนาคารเลือดในปัจจุบัน

หากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอย่างไร?

     ในกรณีตับอักเสบเฉียบพลันซึ่งพบในเด็กโต, ผู้ใหญ่ อาจมีอาการ

    อ่อนเพลียคล้ายเป็นหวัด
    คลื่นไส้  อาเจียน  น้ำหนักลด
    จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต
    ปัสสาวะเข้ม  ตาเหลือง

     อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นในเวลา 2 - 3 สัปดาห์ และร่างกายจะค่อยๆ กำจัดไวรัสตับอักเสบบีออกไปพร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีซ้ำอีก ผู้ป่วยร้อยละ 1 - 5 อาจโชคไม่ดีไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรังโดยเฉพาะหากได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการอักเสบร่วมด้วย  ซึ่งหากมีการอักเสบตลอดเวลาจะทำให้มีการตายของเซลล์ตับ เกิดมีพังผืดเพิ่มมากขึ้นจนเป็นตับแข็งในที่สุด ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งกลายเป็นมะเร็งตับซ้ำเดิม ผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังมักไม่มีอาการแม้จะมีตับเสียหายมากและกรณีนี้จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

แพทย์สามารถวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี ได้อย่างไร?

     การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบีในปัจจุบันทำได้ง่ายมาก เพียงตรวจเลือดในปริมาณเล็กน้อย เพื่อหาเปลือกของไวรัส (HBsAg) ก็จะทราบได้ว่าท่านมีไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งแพทย์อาจตรวจหาหลักฐานว่ามีตับอักเสบหรือไม่ โดยการตรวจระดับเอนไซม์ของตับ (AST/ ALT) โดยในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเรื้อรัง แพทย์อาจนัดตรวจ 1 - 2 ครั้ง ในเวลาห่างกันทุกๆ 1 - 2 เดือน ก็จะทราบได้ว่าท่านมีตับอักเสบเรื้อรังหรือไม่ นอกจากนั้นแพทย์อาจตรวจปริมาณไวรัสโดยทางอ้อมด้วยการตรวจ HBeAg หรือตรวจนับไวรัสในเลือดโดยตรง เพื่อประเมินปริมาณของไวรัสก่อนการรักษา แพทย์อาจจะตรวจชิ้นเนื้อตับโดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านผิวหนังหลังจากฉีดยาชา ซึ่งการตรวจชิ้นเนื้อนี้จะให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างมากเกี่ยวกับการอักเสบของตับ

5. ข้อลดเสี่ยงโรคตับอักเสบบี

     1. รับประทานอาหารใหครบ 5 หมู่ ลดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน

     2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่หักโหม

     3. ควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะทำให้ตับถูกทำลายมากขึ้น

     4. อัลตราซาวนด์และตรวจสุขภาพประจำปี

     5. งดอาหารที่มีสารอัลฟาท็อกซิน เช่น ในถั่วลิสง พริกป่น เป็นต้น

ไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน

     วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีประกอบด้วย โปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน  สามารถฉีดตั้งแต่แรกเกิดโดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และ ฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน

     เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้มากถึง 97%  และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุมกันไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ หากยังไม่มีภูมิต้านทานควรฉีดวัคซีนเพิ่มคำแนะนำของแพทย์

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

    ทารกแรกเกิด เด็ก และผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
    ผู้ที่ตรวจเลือดไม่พบว่าติดเชื้อมาก่อน และยังไม่มีภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี
    ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
    ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
    ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
    ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อยๆ
    ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
    ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการะบาดของโรค
    ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน
    ผู้ที่มีอาจมีภูมิต้านทานในอนาคต



 

ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google