แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 53
1
สินค้า บริการอื่น ๆ / Doctor At Home: ฝีในสมอง
« เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2025, 22:04:00 pm »
Doctor At Home: ฝีในสมอง

ฝีในสมองเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่แพร่กระจายเข้าสู่สมองผ่านทางบาดแผลบริเวณศีรษะหรือจากการติดเชื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดเป็นหนองสะสมภายในสมอง ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์โดยเร็ว เพราะฝีในสมองอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้

โดยทั่วไป คนที่มีภูมิคุ้มกันปกติมักพบฝีในสมองจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมักพบฝีในสมองจากเชื้อราได้ง่ายกว่าเชื้อชนิดอื่น ๆ โดยฝีชนิดนี้จะทำให้สมองบวม แรงดันภายในโพรงกะโหลกศีรษะเพิ่มสูงขึ้น และขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่เข้ามาเลี้ยงสมองด้วย หากผู้ป่วยไม่รีบรักษาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

อาการของฝีในสมอง

ผู้ป่วยที่มีฝีในสมองมักจะเกิดอาการอย่างช้า ๆ โดยอาจกินเวลานานหลายสัปดาห์ แต่บางรายก็อาจแสดงอาการอย่างฉับพลัน โดยตัวอย่างของอาการที่พบมีดังนี้

    ภาวะทางอารมณ์เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น รู้สึกสับสนมากขึ้น มีการตอบสนองหรือกระบวนการคิดที่ช้าลง ไม่มีสมาธิ ฉุนเฉียวง่าย ง่วงซึม เป็นต้น
    ความรู้สึกตัวลดลง
    มีปัญหาในการพูด พูดไม่ชัด
    สูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อ เคลื่อนไหวตัวได้น้อยลง แขนขาอ่อนแรง อัมพาตครึ่งซีก
    มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม
    การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เช่น ดวงตาไวต่อแสง มองเห็นเป็นภาพเบลอหรือภาพซ้อนกัน มองเห็นเป็นสีเทา เป็นต้น
    มีไข้ หนาวสั่น
    อาเจียน
    ปวดศีรษะ
    คอแข็งเกร็ง มักพบร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น
    ชัก
    ในผู้ป่วยเด็กทารกและเด็กเล็กอาจมีกระหม่อมบวม อาเจียนแบบพุ่ง ร้องไห้เสียงสูง แขนหรือขาเกร็ง

สาเหตุของฝีในสมอง

ฝีในสมองมักเป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบและอาการบวม มีหนองเกิดขึ้นจากการสะสมของเซลล์สมองที่ติดเชื้อ เซลล์เม็ดเลือดขาว รวมถึงเชื้อโรคที่ตายแล้วหรือที่ยังมีชีวิต นอกจากนี้ เชื้อโรคที่ลามเข้าสู่สมองอาจมาจากการติดเชื้อที่แพร่กระจายผ่านกระแสเลือด เช่น การติดเชื้อที่ปอด หัวใจ ฟัน หรือผิวหนัง การติดเชื้อที่กระโหลกศีรษะอย่างหูชั้นกลางอักเสบหรือไซนัสอักเสบ หรืออาจเข้าสู่สมองโดยตรงผ่านบาดแผลจากการบาดเจ็บที่ศีรษะหรือการผ่าตัดสมอง เป็นต้น

ทั้งนี้ คนบางกลุ่มอาจเสี่ยงต่อการเกิดฝีในสมองมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างผู้ป่วยโรคเอดส์หรือผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคเรื้อรังอย่างโรคมะเร็ง ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันอย่างยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไซนัสอักเสบหรือหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงหรือกะโหลกศีรษะแตกร้าว

 การวินิจฉัยฝีในสมอง

เนื่องจากหลายอาการของฝีในสมองคล้ายกับอาการของโรคอื่น ๆ ในเบื้องต้นแพทย์จะพิจารณาจากอาการที่เกิดขึ้น ประวัติทางสุขภาพ ตรวจหาการติดเชื้อผ่านการตรวจเลือด และตรวจร่างกายทางระบบประสาท เพื่อช่วยยืนยันอาการของภาวะแรงดันภายในกะโหลกศีรษะที่เพิ่มสูงขึ้นและปัญหาด้านการทำงานของสมอง

นอกจากนี้ อาจใช้วิธีตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมร่วมด้วย เช่น

    การตรวจจากภาพถ่ายด้วยการเอกซเรย์ การทำ CT Scan หรือ MRI Scan เพื่อช่วยให้เห็นภาพภายในสมองและตรวจหาจุดที่เป็นฝีได้อย่างชัดเจน
    การเจาะน้ำไขสันหลัง โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากการติดเชื้อ แต่จะไม่ใช้วิธีนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการสมองบวม เพราะอาจทำให้แรงดันในสมองเปลี่ยนแปลงจนอาจก่อให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองหรือเส้นเลือดในสมองแตก
    การตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจคลื่นสมองไฟฟ้า EEG (Electroencephalogram) หรือการทดสอบหาแอนติบอดี เป็นต้น

การรักษาฝีในสมอง

ฝีในสมองรักษาได้ด้วยการรับประทานยาและการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ในโรงพยาบาลจนกว่าอาการจะคงตัว เนื่องจากหากแรงดันในสมองสูงอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยการรักษาทั้ง 2 วิธีจะมีรายละเอียด ดังนี้

การใช้ยารักษา

ผู้ป่วยจะได้รับยาปฏิชีวนะในการต้านเชื้อแบคทีเรียหรือต้านเชื้อราผ่านเข้าทางเส้นเลือด เพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่เป็นต้นเหตุของฝีในสมอง โดยวิธีนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีฝีขนาดเล็กกว่า 2 เซนติเมตร มีฝีหลายตำแหน่ง ฝีเกิดลึกลงไปในสมอง ผู้ป่วยเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่มีฝีร่วมด้วย ผู้ป่วยภาวะโพรงสมองคั่งน้ำที่เคยเข้ารับการผ่าตัดใส่สายระบาย ผู้ป่วยเอดส์หรือติดเชื้อเอชไอวีที่เป็นโรคท็อกโซพลาสโมซิส นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ยาขับปัสสาวะและยาสเตียรอยด์บางชนิดเพื่อลดอาการบวมของสมองร่วมด้วย

การผ่าตัด

การผ่าตัดมักใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วฝีไม่เล็กลง ฝีมีขนาดใหญ่กว่า 2 เซนติเมตร ฝีที่อาจจะแตก ฝีที่เชื้อก่อโรคผลิตแก๊สร่วมด้วย แรงดันในสมองเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และมีอาการโดยรวมแย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งการผ่าตัดฝีในสมองมีอยู่หลายวิธี โดยอาจเป็นการเจาะกะโหลกศีรษะและใส่สายระบายหนองออกมา การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ หรือการใช้เข็มดูดหนองที่อยู่ลึกลงไปในสมอง จากนั้นจะนำหนองที่ดูดออกมาส่งไปตรวจหาสาเหตุในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะกับเชื้อโรคมากที่สุด

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนานหลายสัปดาห์และมีการตรวจติดตามอาการเป็นระยะ ๆ ด้วย CT Scan  เพื่อหาฝีที่อาจหลงเหลืออยู่ภายในสมอง เมื่อได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ผู้ป่วยควรหยุดพักอยู่บ้านประมาณ 6-12 สัปดาห์ก่อนจะกลับไปทำงานหรือเรียนตามปกติ โดยควรระมัดระวังการกระทบกระเทือน การบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุที่ศีรษะมากเป็นพิเศษ

ภาวะแทรกซ้อนของฝีในสมอง

ผู้ป่วยฝีในสมองอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ สมองถูกทำลายโดยอาจทำให้มีอาการไม่รุนแรงไปจนถึงอาการรุนแรงอย่างพิการถาวร หากผู้ป่วยฝีในสมองไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสี่ยงต่อการเกิดสมองตายมากขึ้น เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตโดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก การติดเชื้อซ้ำ และชัก

การป้องกันฝีในสมอง

โดยทั่วไป อาจลดความเสี่ยงได้ด้วยการเข้ารับการรักษาโรคติดเชื้อหรือปัญหาสุขภาพที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝีในสมอง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอาจรับประทานยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนการทำฟันหรือหัตถการใด ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงควรระมัดระวังอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ โดยอาจสวมหมวกกันน็อคและคาดเข็มขัดนิรภัยขณะใช้ยานพาหนะ หรือสวมอุปกรณ์ป้องกันตนเองในขณะเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงกระแทก

2
เลือกของตกแต่งบ้าน เผยตัวตนในบ้าน

การเลือก ของตกแต่งบ้าน เพื่อ เผยตัวตน คือการเปลี่ยนบ้านให้เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนรสนิยม ความสนใจ ความทรงจำ และบุคลิกภาพของคุณได้อย่างชัดเจนค่ะ ทุกชิ้นที่คุณเลือกจะบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณ ลองมาดูไอเดียของตกแต่งที่จะช่วยให้บ้านของคุณมี "กลิ่นอาย" ที่เป็นตัวคุณได้อย่างเต็มที่นะคะ

1. งานศิลปะและภาพถ่ายส่วนตัว (Art & Personal Photos)

นี่คือวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการบอกเล่าเรื่องราวของคุณ

งานศิลปะที่คุณชื่นชอบ: ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพพิมพ์ รูปปั้น หรือประติมากรรม เลือกงานที่คุณมีความรู้สึกร่วมด้วยจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป อาจเป็นผลงานของศิลปินอิสระ หรือภาพ Abstract ที่คุณตีความได้

ภาพถ่ายความทรงจำ: พิมพ์ภาพถ่ายที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นภาพครอบครัว เพื่อน การเดินทาง หรือสัตว์เลี้ยงของคุณ ใส่กรอบสวยๆ แล้วจัดวางบนชั้นวาง หรือทำเป็น Gallery Wall เพื่อแสดงเรื่องราวและช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของคุณ

ภาพวาด/ภาพถ่ายที่คุณสร้างสรรค์เอง: หากคุณมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ การนำผลงานของคุณเองมาจัดแสดงจะยิ่งทำให้บ้านเป็นของคุณมากยิ่งขึ้น


2. ของสะสมและของที่ระลึก (Collectibles & Souvenirs)

ของเหล่านี้คือหลักฐานของประสบการณ์และความสนใจของคุณ

ของที่ระลึกจากการเดินทาง: นำของที่ระลึกชิ้นพิเศษจากทริปต่างๆ ที่คุณประทับใจมาจัดแสดง ไม่ว่าจะเป็นแก้วกาแฟจากเมืองโปรด ของที่ระลึกงานฝีมือจากต่างแดน หรือแม้แต่ทรายจากชายหาดที่คุณรัก

ของสะสมส่วนตัว: ไม่ว่าคุณจะสะสมอะไร ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียง หนังสือหายาก กล้องถ่ายรูปฟิล์ม โมเดลรถยนต์ ตุ๊กตา หรือแสตมป์ การจัดแสดงคอลเลกชันเหล่านี้อย่างมีศิลปะจะบอกเล่าความหลงใหลของคุณได้เป็นอย่างดี

ของเก่า/วินเทจ: หากคุณชื่นชอบประวัติศาสตร์หรือความคลาสสิก การเลือกของเก่าที่มีเรื่องราว เช่น เครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์โบราณ หรือวิทยุเก่า จะเพิ่มเสน่ห์และเอกลักษณ์ให้กับบ้าน


3. หนังสือและมุมอ่านหนังสือ (Books & Reading Nook)

สะท้อนความคิดและความสนใจของคุณผ่านโลกของตัวอักษร

ชั้นหนังสือที่จัดวางอย่างมีสไตล์: แสดงหนังสือที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม การเดินทาง ประวัติศาสตร์ หรืองานอดิเรกของคุณ ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องราวจะบ่งบอกถึงความเป็นหนอนหนังสือของคุณ

โต๊ะกาแฟ/โต๊ะข้างที่มีหนังสือตกแต่ง: เลือก Coffee Table Books ที่มีปกสวยงามและเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสนใจ เช่น แฟชั่น ศิลปะ การออกแบบ หรือการเดินทาง วางไว้เพื่อชวนให้หยิบอ่านและเป็นของตกแต่งไปในตัว

มุมอ่านหนังสือส่วนตัว: สร้างมุมเล็กๆ ที่อบอุ่นและน่านั่ง ด้วยเก้าอี้สบายๆ โคมไฟอ่านหนังสือดีไซน์เก๋ และชั้นวางหนังสือเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหนังสือที่คุณรัก


4. สิ่งทอและผ้า (Textiles & Fabrics) ที่บ่งบอกสไตล์

เพิ่มความรู้สึกและอารมณ์ผ่านผิวสัมผัสและลวดลาย

หมอนอิงและผ้าห่ม: เลือกผ้าที่มีลวดลาย สีสัน หรือเท็กซ์เจอร์ที่คุณชื่นชอบและสะท้อนสไตล์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม ผ้ากำมะหยี่ ผ้าถักมือ ผ้าพิมพ์ลายชนเผ่า หรือผ้าฝ้ายลินินเรียบๆ

พรม: เลือกพรมที่มีลวดลายหรือสีสันที่โดดเด่น ซึ่งสามารถเป็น Focal Point ของห้องและบ่งบอกถึงสไตล์ของคุณได้อย่างชัดเจน


5. ของใช้ในชีวิตประจำวันที่มีดีไซน์ (Functional & Aesthetic Everyday Items)

แม้แต่ของใช้ทั่วไปก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเผยตัวตนได้

แก้วน้ำ/แก้วกาแฟ: เลือกแก้วที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ลวดลายที่คุณชอบ หรือมาจากร้าน/คาเฟ่ที่คุณประทับใจ

ชุดจานชาม: สำหรับคนรักการทำอาหารหรือจัดโต๊ะอาหาร การเลือกชุดจานชามที่มีลวดลาย สีสัน หรือวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์จะสะท้อนความรักในการเข้าครัวของคุณ

อุปกรณ์เครื่องเขียน: หากคุณเป็นคนชอบจดบันทึก หรือมีโต๊ะทำงานในห้อง การเลือกสมุด ปากกา หรืออุปกรณ์เครื่องเขียนดีไซน์สวยงาม จะบ่งบอกถึงความพิถีพิถันของคุณ


เคล็ดลับสำคัญในการเผยตัวตนผ่านของตกแต่งบ้าน:

เลือกจาก "ความรู้สึก": ของตกแต่งชิ้นนั้นทำให้คุณรู้สึกอย่างไร? มันเป็นตัวคุณจริงๆ หรือเปล่า?

สร้าง "เรื่องราว": ลองคิดว่าของแต่ละชิ้นบอกเล่าเรื่องราวอะไรเกี่ยวกับคุณได้บ้าง และคุณจะจัดวางมันอย่างไรให้เรื่องราวเหล่านั้นเชื่อมโยงกัน

ความสมดุลและความเป็นระเบียบ: แม้จะเน้นการเผยตัวตน แต่การจัดวางอย่างมีศิลปะ ไม่มากเกินไป และรักษาความสะอาด จะช่วยให้ของตกแต่งของคุณโดดเด่นและน่ามองยิ่งขึ้น

การตกแต่งบ้านคือการสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความหมายและเสน่ห์ในแบบที่เป็นคุณอย่างแท้จริงค่ะ ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้ แล้วคุณจะค้นพบว่าบ้านของคุณมีชีวิตชีวาและสะท้อนตัวตนของคุณได้มากแค่ไหน!

3
การจัดฟันเด็ก เด็กควรที่ปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้การจัดฟันมีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
 
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกนั้น มีความสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะถ้าหากเด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็จะสามารถทำกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ และยังเป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการของเด็กได้อย่างดีเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพฟันของลูกให้มากเป้นพิเศษ เพราะฟันของลูกเรานั้น จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต ถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและฟัน

ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที หากปล่อไว้จนเด็กโตขึ้น ปัญหาดังกล่าวอาจจะลุกลามไปจนขึ้นขั้นเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ ที่สำคัญถ้าหากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ก็ควรที่จะพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อเข้ารับการแก้ไขปัญหาทันที เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว ทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จักวิธีการแปรงฟัน การดูแลรักษาคาวมสะอาดช่องปากและฟันตั้งแต่อายุยังน้อยด้วย

ถือว่ามีประโยน์ต่อตัวเด้กมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามในเรื่องของฟันของเด็ก แต่พ่อปม่หลายคนอาจจะมีความกังวลเพราะค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก ก็มีราคาค่อนข้างสูง กลัวว่าเมื่อเด็กเข้ารับการจัดฟันแล้ว จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้เด็กเสียเวลาที่จะต้องเข้ารับการจัดฟันใหม่ หรือปฏิบัติตัวอย่างไรให้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
 
วันนี้ของเราจะมาพูดถึงการปฏิบัติตัวของเด็ก ที่จะช่วยทำให้มีผลการรักษาในการจัดฟันในเด็กทีมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้จริง ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว สำหรับขอแรกหลายคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้น ไม่ว่าจะเป้นการจัดฟันในรูปแบบใด ในเรื่องของการทำความสะอาดก้จะยากกว่าคนทั่วไป เพราะเรามีเครื่องมือการจัดฟันติดตั้งอยู่ภายในช่องปาก


จึงมีความจำเป้นที่จะต้องทำความสะอาดช่องปากและฟันให้ดีมากเป็นพิเศษ พ่อแม่ผู้ปกครองบางคนอาจจะคิดว่า การจัดฟันของเด็กเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เด็กๆอาจจะปฏิบัติตัวขณะจัดฟันได้ไม่ถูกต้องหรือมีคาวมยุ่งยากในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ต้องบอกก่อนว่า เด็กทุกคนสามารถปรับตัวได้ และการจัดฟันก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด เพราะจริงๆ แล้วการจัดฟัน มีหลักปฏิบัติง่ายๆ อยู่ 4 อย่างเท่านั้นเอง ซึ่งก็ได้แก่ แปรงฟันให้สะอาดอยู่เสมอ เข้ามาปรับเครื่องมือตามที่ทันตแพทย์จัดฟันนัด ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด


ระวังอย่าให้เครื่องมือหลุด เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม เพราะการที่เรารับประทานอาหารที่มีความแข็งเกินไป เช่นลูกอม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายของเครื่องมือการจัดฟันได้ ที่สำคัญภายหลังจากการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน ซึ่งข้อปฏิบัติเหล่านี้อาจจะทำให้ชีวิตอาจยุ่งยากขึ้นบ้าง


แต่ก็คงไม่มีอะไรเกินความสามารถ และในขณะจัดฟัน เด็กๆ ก็ยังสามารถรับประทานอาหารและเล่นกีฬาที่พวกเขาชื่นชอบได้ เพียงแต่ต้องระวังนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เด็กมีผลการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ที่มีประสิทธิภาพ สามารถมีฟันที่สวยงามได้แล้ว นอกจากจะชช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว การจัดฟันในเด็กยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของเด็กได้อีกด้วย ทำให้เด็กมีคาวมมั่นใจมากยิ่งขึ้น มีรอยยิ้มที่สดใส สมวัยได้
 
สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลาของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดี และมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน และยังช่วยทำให้สสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มีความสุขได้

4
การวางแผนการตลาด เพื่อสร้างอาชีพ การขายทางออนไลน์

การวางแผนการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอาชีพและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณวางแผนการตลาดออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ:

1. กำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย:

กำหนดเป้าหมาย:
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวนผู้ติดตาม หรือสร้างการรับรู้แบรนด์
ใช้หลัก SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) ในการกำหนดเป้าหมาย

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย:
ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง
ศึกษาข้อมูลประชากรศาสตร์ พฤติกรรม และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
สร้าง Persona (ตัวแทนลูกค้า) เพื่อให้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

2. วิเคราะห์ตลาดและคู่แข่ง:

วิเคราะห์ตลาด:
ศึกษาแนวโน้มและความต้องการของตลาดออนไลน์
ระบุโอกาสและความท้าทายในตลาด

วิเคราะห์คู่แข่ง:
ศึกษาคู่แข่งโดยตรงและคู่แข่งทางอ้อม
วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน กลยุทธ์ และการตลาดของคู่แข่ง
หาจุดแตกต่างของธุรกิจของคุณจากคู่แข่ง

3. กำหนดกลยุทธ์การตลาด:

เลือกช่องทางออนไลน์:
เลือกช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและประเภทธุรกิจของคุณ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรือตลาดออนไลน์
พิจารณาข้อดีและข้อเสียของแต่ละช่องทาง

สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ:
สร้างเนื้อหาที่ดึงดูดและมีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ใช้สื่อที่หลากหลาย เช่น รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ
สร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับแบรนด์และเป้าหมายทางการตลาด

ใช้การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย:
สร้างบัญชีธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้งาน
โพสต์เนื้อหาอย่างสม่ำเสมอและมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม
ใช้โฆษณาบนโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

ใช้ SEO (Search Engine Optimization):
ปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณให้ติดอันดับการค้นหาบน Google
ใช้คำหลัก (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ใช้การตลาดผ่านอีเมล:
สร้างรายชื่ออีเมลของลูกค้า
ส่งอีเมลโปรโมชั่น ข่าวสาร หรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้า

ใช้การตลาดแบบ Influencer:
ร่วมมือกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ให้ Influencer โปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ

4. วัดผลและปรับปรุง:

กำหนดตัวชี้วัด (KPIs):
กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดของคุณ เช่น ยอดขาย จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์:
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics หรือ Facebook Insights เพื่อติดตามผลลัพธ์
ปรับปรุงกลยุทธ์:
วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของคุณตามข้อมูลที่ได้รับ

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างความสม่ำเสมอ: โพสต์เนื้อหาและมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ
สร้างความน่าเชื่อถือ: สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใส
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ
ติดตามเทรนด์: ติดตามเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ในตลาดออนไลน์
เรียนรู้และปรับตัว: เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดออนไลน์

การวางแผนการตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสร้างอาชีพและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน

5
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ฟันเหลืองดำ และ ฟันตกกระ

ฟันเหลืองดำ และ ฟันตกกระ เป็นภาวะที่สีของฟันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสีขาวธรรมชาติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุและมีลักษณะที่แตกต่างกันครับ แม้ทั้งสองภาวะจะเกี่ยวกับสีฟัน แต่สาเหตุและแนวทางการดูแลก็ต่างกันออกไป

ฟันเหลืองดำ (Tooth Discoloration / Staining)
ฟันเหลืองดำ คือภาวะที่สีฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม สีน้ำตาล หรือสีดำคล้ำ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งที่ผิวเคลือบฟัน (ภายนอก) หรือโครงสร้างภายในฟัน (ภายใน)


สาเหตุของฟันเหลืองดำ

คราบสีติดภายนอก (Extrinsic Stains):
เกิดจากการสะสมของเม็ดสีจากอาหาร เครื่องดื่ม และสารต่างๆ บนผิวเคลือบฟัน ซึ่งมักเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดและแก้ไขได้ง่ายที่สุด:

อาหารและเครื่องดื่ม: ชา, กาแฟ, ไวน์แดง, โคล่า, น้ำผลไม้สีเข้ม (เช่น น้ำองุ่น, น้ำทับทิม), ซอสปรุงรส (ซีอิ๊ว, ซอสมะเขือเทศ), ผักผลไม้สีเข้มบางชนิด (บลูเบอร์รี่)

การสูบบุหรี่/ยาเส้น: นิโคตินและสารทาร์ในบุหรี่ทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลดำติดแน่นบนผิวฟัน

สุขอนามัยช่องปากไม่ดี: การแปรงฟันไม่สะอาด ทำให้มีคราบจุลินทรีย์ (Plaque) สะสม ซึ่งเป็นที่เกาะของคราบสีต่างๆ ได้ง่าย

ยาบางชนิด: ยาน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ Chlorhexidine หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก

อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นเคลือบฟันจะบางลง ทำให้สีเหลืองของเนื้อฟัน (Dentin) ที่อยู่ด้านในปรากฏชัดเจนขึ้น

การเปลี่ยนสีจากภายในฟัน (Intrinsic Stains):

เกิดจากการที่สีฟันเปลี่ยนจากโครงสร้างภายในของเนื้อฟัน ซึ่งอาจเกิดจาก:

ยาปฏิชีวนะบางชนิด: โดยเฉพาะยา Tetracycline หรือ Doxycycline ที่รับประทานในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนา (ในเด็กเล็ก หรือหญิงตั้งครรภ์) จะทำให้ฟันมีสีเหลือง น้ำตาล หรือเทาเป็นแถบๆ อย่างถาวร

ฟันตาย/ฟันผุ: ฟันที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษา ทำให้เส้นประสาทและหลอดเลือดในโพรงประสาทฟันตาย เลือดที่แตกในโพรงประสาทฟันจะสลายตัวและทำให้ฟันมีสีดำคล้ำ

ฟันที่ได้รับการอุดด้วยวัสดุบางชนิด: เช่น วัสดุอุดฟันสีเงิน (Amalgam) ที่ใช้มานาน อาจทำให้ฟันรอบๆ มีสีเทาคล้ำได้

ฟันตกกระ (Fluorosis): เกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปในช่วงฟันกำลังพัฒนา (จะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)

โรคทางพันธุกรรมบางชนิด: เช่น Amelogenesis Imperfecta หรือ Dentinogenesis Imperfecta ซึ่งส่งผลต่อการสร้างเคลือบฟันหรือเนื้อฟัน ทำให้สีฟันผิดปกติ

แนวทางการรักษาฟันเหลืองดำ

คราบสีภายนอก:

ขูดหินปูนและขัดฟัน: โดยทันตแพทย์ จะช่วยขจัดคราบสะสมบนผิวฟันได้ดี

การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening/Bleaching): ใช้สารฟอกสีฟันที่มีส่วนผสมของ Hydrogen Peroxide หรือ Carbamide Peroxide เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น สามารถทำได้ทั้งที่คลินิกหรือที่บ้านภายใต้การดูแลของทันตแพทย์

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดการดื่มชา กาแฟ ไวน์แดง หรือบ้วนปาก/แปรงฟันหลังดื่ม/ทานอาหารที่มีสีเข้ม และงดสูบบุหรี่


การเปลี่ยนสีจากภายในฟัน:

การฟอกสีฟัน (บางกรณี): หากการเปลี่ยนสีไม่รุนแรงมาก การฟอกสีฟันอาจช่วยให้สีจางลงได้บ้าง

การทำวีเนียร์ (Veneer): เป็นการแปะวัสดุบางๆ ที่ทำจากพอร์ซเลนหรือคอมโพสิตบนผิวหน้าฟันเพื่อปกปิดสีฟันเดิม

การครอบฟัน (Crown): ในกรณีที่สีฟันคล้ำมาก หรือมีการทำลายเนื้อฟันร่วมด้วย การครอบฟันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ฟันตกกระ (Dental Fluorosis)
ฟันตกกระ คือความผิดปกติของสีฟันที่เกิดจากการได้รับ ฟลูออไรด์ (Fluoride) ในปริมาณที่มากเกินไป ในช่วงที่ฟันกำลังสร้างตัว (ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงประมาณ 8 ปี) ทำให้เซลล์ที่สร้างเคลือบฟัน (Ameloblasts) ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เคลือบฟันมีความพรุนและมีลักษณะเป็นคราบสีขาวขุ่น เหลือง หรือน้ำตาลดำ


สาเหตุของฟันตกกระ

น้ำดื่ม: การดื่มน้ำที่มีปริมาณฟลูออไรด์สูงเกินไป (เกิน 1.5 - 2 ppm) ซึ่งอาจพบในแหล่งน้ำธรรมชาติบางแห่ง

ยาสีฟัน: การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ในเด็กเล็ก โดยที่เด็กยังบ้วนปากไม่เป็นและกลืนยาสีฟันเข้าไป

อาหารเสริมฟลูออไรด์: การได้รับอาหารเสริมฟลูออไรด์มากเกินความจำเป็น

น้ำยาบ้วนปากฟลูออไรด์: การใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ในเด็กเล็กที่อาจกลืนลงไป


ลักษณะของฟันตกกระ

ลักษณะของฟันตกกระจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของการได้รับฟลูออไรด์:

ระดับอ่อน: เป็นจุดขาวขุ่นเล็กๆ คล้ายชอล์ก หรือเส้นสีขาวขุ่นเล็กๆ บนผิวฟัน

ระดับปานกลาง: เป็นคราบขาวขุ่นชัดเจน มีสีเหลือง หรือน้ำตาลอ่อนปะปน

ระดับรุนแรง: เป็นคราบสีน้ำตาลเข้มถึงดำ มีหลุมหรือรอยบุ๋มบนผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันดูขรุขระและอาจเปราะแตกง่าย

แนวทางการรักษาฟันตกกระ
การรักษาฟันตกกระจะเน้นที่การปรับปรุงรูปลักษณ์ของฟันให้สวยงามขึ้น และมักจะทำเมื่อฟันแท้ขึ้นมาครบแล้ว:

ระดับอ่อน:

การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening/Bleaching): อาจช่วยให้คราบสีขาวขุ่นจางลงและดูกลืนไปกับสีฟันโดยรวม

การขัดฟันแบบ Microabrasion: ใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอ่อนๆ ร่วมกับการขัด เพื่อลอกผิวเคลือบฟันชั้นบนที่มีคราบออกไปเล็กน้อย


ระดับปานกลางถึงรุนแรง:

การทำวีเนียร์ (Veneer): เป็นวิธีที่นิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมในการปกปิดคราบสีและความผิดปกติของพื้นผิวฟัน

การอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน (Composite Bonding): หากเป็นคราบเล็กๆ อาจใช้วัสดุอุดฟันสีเหมือนฟันปิดทับ

การครอบฟัน (Crown): ในกรณีที่ฟันตกกระอย่างรุนแรง มีหลุมบ่อมาก หรือฟันเปราะ


การป้องกัน
ฟันเหลืองดำจากคราบภายนอก: แปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม และงดสูบบุหรี่

ฟันตกกระ: ควบคุมปริมาณฟลูออไรด์ที่เด็กได้รับ โดยปรึกษาทันตแพทย์เกี่ยวกับการใช้น้ำดื่ม ยาสีฟัน และอาหารเสริมฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม

หากคุณกังวลเกี่ยวกับสีฟันหรือมีปัญหาฟันเหลืองดำ/ฟันตกกระ ควรปรึกษา ทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณครับ

6
ผ้ากันไฟแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร

วันนี้เราจะมาพูดเรื่องของตัวผ้ากันไฟว่ามันแตกต่างกันอย่างไรใช้งานแบบไหน 4 ตัวนี้ที่เราอยากจะแนะนำ

1.ไฟเบอร์กลาสสีทอง อุณภูมิสูงสุด 550 องศา (ผ้าใยแก้วกันไฟอย่างดี)

ผ้ากันไฟชนิด Fiberglass สำหรับงานความร้อนจากงานเชื่อมแบบทั่วไป ผ้าทนความร้อน ผ้าสำหรับงานเชื่อม อุณภูมิใช้งานไม่เกิน 550 C เป็นผ้าที่ผลิตจาก Fiberglass (หรือที่เรียกกันว่า ผ้าใยแก้ว) เป็นผ้าใยแก้วที่สามารถทนความร้อนได้สูง

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหนบ้าง

1.เป็นผ้ากันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม, งานที่มีประกายไฟ
2.ทำฉนวนหุ้มวาวล์ได้
3.เป็นม่านกันความร้อน สำหรับ ไลน์เครื่องจักร ที่มีสายพานการผลิต หรือ ต้องการกั้นความร้อนเฉพาะโซน
4.คลุมอุปกรณ์ หรือชิ้นงาน เพื่อป้องกันลูกไฟจากงานเชื่อมกระเด็นมาโดน
5.เป็นผ้าใยแก้วกันไฟ สำหรับคลุมตัวออกมา เพื่อออกมาจากอาคารที่เกิดเพลิงไหม้
6.สามารถนำไปแขวนกับรางได้ เพื่อทำเป็นห้องเฉพาะที่มีไฟด้านใน

2.ผ้ากันไฟซิลิโคนเคลือบผ้าใยแก้ว อุณภูมิสูงสุด 550 องศา (ผ้าใยแก้ว ชนิดใช้แล้วไม่คัน)

ผ้า Silicone Coated Fiberglass Cloth ผ้าชนิดคุณภาพดี ทนความร้อนสูงสามารถทนความร้อนสูงสุด 550 C ผลิตจากวัตถุดิบที่เป็น Fiberglass พร้อมเคลือบด้วยซิลิโคนทนความร้อนสูง เพื่อป้องกันการคันที่เกิดกับผู้ใช้งาน
     เราเคลือบซิลิโคนทนความร้อนทั้ง 2 ด้าน โดยซิลิโคนสามารถทนความร้อนได้ 280 C ผ้าด้านในที่ถูกเคลือบ สามารถทนความร้อนได้ 600 C (สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 600 C)

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหนบ้าง

1.กันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม, งานที่มีประกายไฟ ที่ไม่ต้องการฝุ่นคัน
2.เป็นม่านกันความร้อนสำหรับไลน์เครื่องจักรที่มีสายพานการผลิตหรือต้องการกั้นความร้อนเฉพาะโซน
3. คลุมอุปกรณ์ หรือชิ้นงาน เพื่อป้องกันลูกไฟจากงานเชื่อมกระเด็นมาโดน
4.เป็นผ้ากันไฟ สำหรับคลุมตัวออกมา เพื่อออกมาจากอาคารที่เกิดเพลิงไหม้
5.สามารถนำไปแขวนกับรางได้ เพื่อทำเป็นห้องเฉพาะที่มีไฟด้านใน

3.ผ้ากันไฟผ้าซิลิก้าทนอุณภูมิสูงสุด 1,000 องศา

ผ้ากันไฟชนิด ผ้าซิลิก้า หรือ Silica cloth สำหรับงานความร้อนจากจากเชื่อมแบบอุณภูมิสูง หรือที่เราเรียกกันว่า ผ้ากันไฟ ผ้าทนความร้อน ผ้าสำหรับงานเชื่อม สามารถทนความร้อนได้ ถึง 1,000 C เป็นผ้าที่ผลิตจาก silica (หรือที่เรียกกันว่า ผ้าซิลิก้า) สามารถทนความร้อนได้สูงมาก

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหนบ้าง

1.กันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม, งานที่มีประกายไฟ , งานตัดโลหะที่ความร้อนสูงมาก(โลหะละลายเป็นน้ำ)

2.เป็นม่านกันความร้อน สำหรับ ไลน์เครื่องจักร ที่มีสายพานการผลิต หรือ ต้องการกั้นความร้อนเฉพาะโซน
3.ใช้เป็นฉนวนหุ้ม Turbine ได้ สำหรับงานกันความร้อน

4.คลุมอุปกรณ์ หรือชิ้นงาน เพื่อป้องกันลูกไฟจากงานเชื่อมกระเด็นมาโดน

5.เป็นผ้ากันไฟ สำหรับคลุมตัวออกมา เพื่อออกมาจากอาคารที่เกิดเพลิงไหม้

6.สามารถนำไปแขวนกับรางได้ เพื่อทำเป็นห้องเฉพาะที่กันไฟหรือ มีงานเชื่อมด้านใน

4.ผ้ากันไฟซิลิก้าเคลือบซิลิโคน อุณภูมิสูงสุด 1,000 องศา (ชนิดใช้แล้วไม่คัน)

ผ้ากันไฟชนิดผ้าซิลิก้าเคลือบ ซิลิโคน หรือ Silicone coated Silica Cloth สำหรับงานความร้อนจากจากเชื่อมแบบอุณภูมิสูง ที่เรามักเรียกกันว่า ผ้ากันไฟ ผ้าทนความร้อน ผ้าสำหรับงานเชื่อม  สามารถทนความร้อนได้ ถึง  1,000 C

เป็นผ้าที่ผลิตจาก silica (หรือที่เรียกกันว่าผ้าซิลิก้า) และเคลือบด้วยซิลิโคนทนความร้อนสูง เพื่อลดฝุ่นจากผ้า ทำให้ผู้ใช้งานไม่เกิดการคัน สามารถทนความร้อนได้สูงมาก

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหนบ้าง

1.เป็นผ้ากันสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม,งานที่มีประกายไฟ,งานตัดโลหะที่ความร้อนสูงมาก (โลหะละลายเป็นน้ำ)

2.เป็นม่านกันความร้อนสำหรับไลน์เครื่องจักร ที่มีสายพานการผลิต หรือ ต้องการกั้นความร้อนเฉพาะโซน

3.ใช้เป็นฉนวนหุ้ม Turbine ได้ สำหรับงานกันความร้อน

4.คลุมอุปกรณ์ หรือชิ้นงาน เพื่อป้องกันลูกไฟจากงานเชื่อมกระเด็นมาโดน

5.เป็นผ้ากันไฟ สำหรับคลุมตัวออกมา เพื่อออกมาจากอาคารที่เกิดเพลิงไหม้

6.สามารถนำไปแขวนกับรางได้ เพื่อทำเป็นห้องเฉพาะที่มีไฟด้านใน

7
บริการด้านอาหาร: สุดยอดอาหาร บำรุงหัวใจให้แข็งแรง

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีความรุนแรง และสามารถทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากเป็นอันดับสองรองลงมาจากโรคมะเร็ง หากรู้ตัวว่าเป็นแล้วต้องมีการดูแลตนเองเป็นอย่างดี เพื่อยืดอายุให้ยาวนานขึ้น ด้วยการปรับพฤติกรรมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากกระทำได้อย่างเหมาะสมก็จะสามารถต่อเวลาชีวิตออกไปได้ แต่เราก็สามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจให้แข็งแรงด้วย ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

ซึ่งหนึ่งในสาเหตุนั่นก็คือ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ระมัดระวัง ทั้งความเครียดจากการทำงาน หรือแม้แต่อาหารการกินที่เลือกรับประทาน ก็เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารจึงมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งเราสามารถดูแลตัวเองได้ โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ควบคุมอาหาร ลดหวาน มัน เค็ม รับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร รับประทานอาหารแต่พออิ่ม หลังกินเสร็จพัก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพราะหลังรับประทานอาหารเลือดจะไปเลี้ยงที่ท้อง หากไม่พักจะทำให้เจ็บหน้าอกได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงสุดยอดอาหารที่จะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนอยากหันมาดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้มีร่างายและสุขภาพที่แข็งแรง

สำหรับอาหารเป็นเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับบำรุงหัวใจให้มีความแข็งแรง ได้แก่อาหารประเภท ถั่วฝักยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในพืชตะกูลถั่ว ที่นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเลิศที่ไม่มีไขมันเลว จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจลงไปได้ถึง 22% รวมถึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่เป็นเบาหวานได้อีกด้วย ต่อมาคือ ผลไม้อย่างบีทรูท ที่อุดมไปด้วยไนเตรท ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการสะสมของไขมันและลดการอุดตันในกระแสเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และแน่นอนว่าบีทรูทยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ เพิ่มความแข็งแรงของสุขภาพหัวใจให้ห่างไกลโรค ต่อมาอาหารประเภทเนื้อสัตว์อย่างปลาแซลมอน เป็นแหล่วงโอเมก้า-3 ชั้นดี ที่นอกจากจะช่วยบำรุงสมองเสริมความจำแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ดีอีกด้วย

เพราะในปลาแซลมอนนั้นอุดมไปด้วยกรดดีเอชเอที่มีส่วนช่วยในการลดการติดเชื้อ ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว การเกิดหัวใจวาย และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคความดัน ต่อมาคือ กระเทียม เป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลอย่างดี โดยการช่วยทำลายคอเลสเตอรอลและไขมันที่ติดอยู่กับผนังด้านในของหลอดเลือด และทำให้เกิดความยืดหยุ่น เมื่อเลือดไหลเวียนสะดวก หลอดเลือดแข็งแรง ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ ต่อมาคือ ขนมอย่าง ดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในเรื่องของความดันโลหิต ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของเลือด

รวมถึงช่วยลดอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองในคนที่มีความเสี่ยงสูงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทุกอย่างที่จะดีต่อหัวใจ เพราะช็อกโกแลตที่เราบอกมานั้น จะต้องทำมาจากโกโก้อย่างน้อย 60-70% ต่อมาผลไม่ตระกูลเบอร์รี่ มีประโยชน์ต่อหัวใจมากเช่นกัน ยิ่งถ้าในกลุ่มคนที่อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ถ้าได้รับประทานผลไม้ตระกูลนี้เป็นประจำ มักพบว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายลงได้ถึง 32% เพราะในผลไม้ตระกูลนี้มีสารแอนโทไซยานินและสารฟลาโวนอยด์ ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ที่ช่วยลดความดันโลหิตและขยายหลอดเลือดหัวใจได้ดี

ต่อมาคือ แปะก๊วย หนึ่งในสมุนไพรชั้นเลิศที่ขึ้นชื่อเรื่องของการบำรุงสมอง ช่วยให้มีความจำดีขึ้น เรียกว่าเป็นยาธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ใบแปะก๊วยก็ยังมีสรรพคุณในการช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันและลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เพราะถ้าเลือดสาารถไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดี ก็ถือว่าเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้เหมือนกัน อาหารประเภทสุดท้ายคือ ถั่ววอลนัท ช่วยให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดทำงานได้ดี ช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และยังลดความเสี่ยงโรคหัวใจอีกด้วย

เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ


8
Doctor At Home: ครรภ์เป็นพิษ/โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy)

ครรภ์เป็นพิษ (โรคพิษแห่งครรภ์ ก็เรียก) หมายถึง ภาวะผิดปกติที่พบในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์

ครรภ์เป็นพิษยังแบ่งเป็น โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (preeclampsia) ซึ่งมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ ไม่มีอาการชักหรือหมดสติ กับโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) ซึ่งจะมีอาการชักหรือหมดสติ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ของโรคครรภ์แห่งพิษระยะก่อนชักอาจกลายเป็นโรคครรภ์แห่งพิษระยะชัก

หลังจากคลอดแล้วอาการของครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปได้เอง

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับความผิดปกติของรกซึ่งมีเลือดไปเลี้ยงได้น้อยกว่าปกติ อันอาจเนื่องมาจากมีเลือดไปเลี้ยงมดลูกน้อย หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกมีความผิดปกติ มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

มักพบในหญิงตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรืออายุมากกว่า 40 ปี คนที่อ้วน ครรภ์แรก ครรภ์แฝด ครรภ์ไข่ปลาอุก หญิงที่เคยเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน หรือมีประวัติว่ามารดาหรือพี่สาวน้องสาวเป็นครรภ์เป็นพิษ และในผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นต้น)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชักในระยะรุนแรง จะพบความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มม.ปรอท อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เอนไซม์ตับขึ้นสูงและภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่าย มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง) อาจมีอาการปวดตรงลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวารุนแรง เนื่องจากมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มตับ อาจมีอาการหายใจหอบ (เพราะปอดบวมน้ำ) ปัสสาวะออกน้อย (เพราะไตวายเฉียบพลัน)

ในรายที่เป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก จะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเกิดก่อนคลอด ขณะคลอด หรือภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด

ภาวะแทรกซ้อน

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะต่าง ๆ ของหญิงที่เป็นครรภ์เป็นพิษ เช่น ตามัว สายตาเลือนลาง (เนื่องจากความผิดปกติของจอประสาทตาหรือศูนย์การเห็นที่สมองส่วนท้ายทอย) ตับวาย ไตวาย ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เซลล์สมองตายเนื่องจากสมองขาดเลือด เลือดออกในสมอง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมาในอนาคต

อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า "HELLP syndrome" ซึ่งประกอบด้วยภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (H - hemolysis) เอนไซม์ตับสูง (EL - elevated liver enzymes) และเกล็ดเลือดต่ำ (LP - low platelet count) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง มีอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์

ในรายที่ครรภ์เป็นพิษชนิดร้ายแรงหรือโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (eclampsia) มีอัตราตายถึงร้อยละ 10-15


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ความดันโลหิตช่วงบน (ซิสโตลี) ≥ 140 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง (ไดแอสโตลี) ≥ 90 มม.ปรอท (ถ้าช่วงบน ≥ 160 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท ก็ถือว่ารุนแรง)

เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม

อาจตรวจพบภาวะซีด จ้ำเขียว เลือดออก

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบรีเฟล็กซ์ของข้อไว (hyperreflexia) หรือภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ซึ่งใช้เครื่องฟังปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ซึ่งถ้ายิ่งมีมาก (ขนาด 3+ หรือ 4+) ก็ถือว่ายิ่งรุนแรง

นอกจากนี้อาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเลือดพบเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สารบียูเอ็นรวมทั้งครีอะตินีนขึ้นสูง และเกล็ดเลือดต่ำ การตรวจอัลตราซาวนด์ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่เป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องพักในโรงพยาบาล แนะนำให้นอนพักที่บ้านให้เต็มที่ทั้งวัน (การนอนพักจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมอง หัวใจ ตับ ไต และรกได้ดี อาการของโรคอาจทุเลาได้) และนัดผู้ป่วยมาตรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 2 วัน หรือส่งพยาบาลไปเยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินอาการทุกวัน

ถ้าไม่ดีขึ้น หรือความดันช่วงบน ≥ 140 หรือช่วงล่าง ≥ 90 มม.ปรอท หรือมีปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักให้เต็มที่ ทำการตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อ ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ และฟังเสียงหัวใจทารกบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังต้องตรวจเลือด (ดูจำนวนเกล็ดเลือด อิเล็กโทรไลต์ บียูเอ็น ครีอะตินีน เอนไซม์ตับ) ทุก 1-2 วัน

ถ้าพบว่ามีความดัน ≥ 160/110 มม.ปรอท จะให้ยาลดความดัน เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) 5-10 มก. ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ควรควบคุมให้ความดันช่วงล่างอยู่ระหว่าง 90-100 มม.ปรอท (ถ้าลดต่ำกว่านี้อาจทำให้รกขาดเลือดไปเลี้ยงได้) ห้ามให้ยาลดความดันกลุ่มยาต้านเอช เพราะอาจทำให้ทารกพิการและมารดาไตวายได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่ดี (ยกเว้นในรายที่มีปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากไตวาย อาจให้ฟูโรซีไมด์)

ถ้าเป็นมาก อาจฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เพื่อป้องกันอาการชักและช่วยลดความดัน

เมื่อครรภ์ใกล้กำหนดคลอด (มากกว่า 34 สัปดาห์) ควรหาวิธีทำให้เด็กคลอด โดยการใช้ยากระตุ้น หากไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง

2. หากมีอาการชัก แพทย์จะฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต หรือไดอะซีแพมควบคุมอาการชัก และรีบทำการคลอดเด็ก หลังคลอดอาจต้องให้ยาป้องกันชักต่อไปอีก 1-7 วัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หญิงที่ตั้งครรภ์มีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    บริโภคอาหารพวกโปรตีนให้มาก
    ลดการบริโภคเกลือและอาหารเค็ม
    ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8  แก้ว       


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียนมาก หายใจหอบ ดีซ่าน ซีด จ้ำเขียว เลือดออกจากช่องคลอดหรือที่อื่น ๆ บวม ปัสสาวะออกน้อย หรือชัก 
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นครรภ์เป็นพิษมาก่อน ก่อนตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดน้ำหนักถ้าอ้วนหรือน้ำหนักเกิน รักษาโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ให้ได้ผล

เมื่อตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์ แพทย์จะสามารถตรวจพบอาการครรภ์เป็นพิษและให้การดูแลรักษาตั้งแต่แรก ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนลงได้


ข้อแนะนำ

โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล

9
ดอกบัวในโถแก้ว: ดอกบัวที่นิยม นำไปถวายพระ

ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนาและเป็นที่นิยมนำมา ถวายพระ และบูชาพระพุทธรูปอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของ ความบริสุทธิ์ การตรัสรู้ และการหลุดพ้นจากกิเลส ดุจดังดอกบัวที่ผุดขึ้นจากโคลนตมแต่ยังคงสะอาดงดงามเหนือผิวน้ำ

ดอกบัวที่นิยมนำมาถวายพระมีหลักๆ 2 ชนิดหลัก และสีที่แตกต่างกันก็มีความหมายที่เป็นมงคลแตกต่างกันไปค่ะ

ชนิดของดอกบัวที่นิยมนำมาถวายพระ

บัวหลวง (Nelumbo nucifera):

ลักษณะเด่น: เป็นดอกบัวที่มีขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันสวยงาม ใบและดอกจะชูขึ้นเหนือน้ำ

ความนิยม: เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในการนำมาถวายพระ เพราะถือเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ และการตรัสรู้ในพุทธศาสนา

สายพันธุ์ที่นิยม:

บัวหลวงสีขาว: มักเรียกว่า "ปุณฑริก" หรือ "สัตตบุษย์" สื่อถึงความบริสุทธิ์สูงสุด

บัวหลวงสีชมพู: มักเรียกว่า "ปทุม" หรือ "สัตตบงกช" ถือเป็นบัวที่ประเสริฐที่สุด เป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

การนำไปใช้: นิยมนำดอกตูมหรือดอกแย้มมาถวาย บางครั้งก็นำมา พับกลีบดอก ให้เป็นรูปทรงสวยงาม เช่น บัวฉัตร ก่อนนำไปถวาย


บัวสาย (Nymphaea):

ลักษณะเด่น: เป็นดอกบัวที่มีขนาดเล็กกว่าบัวหลวง กลีบดอกบางกว่า มีหลากหลายสี ดอกจะบานปริ่มน้ำหรือชูขึ้นเล็กน้อย

ความนิยม: แม้จะไม่นิยมเท่าบัวหลวง แต่ก็ยังมีการนำบัวสายบางชนิดมาใช้ถวายพระได้เช่นกัน โดยเฉพาะชนิดที่มีสีสันสวยงาม หรือมีกลิ่นหอม

ความหมายของดอกบัวแต่ละสีในการถวายพระ
นอกจากชนิดแล้ว สีของดอกบัวยังสื่อถึงนัยยะทางพุทธศาสนาที่แตกต่างกันไป:


ดอกบัวขาว:

ความหมาย: สื่อถึง ความบริสุทธิ์ ของจิตใจและวิญญาณ ความสงบ การตรัสรู้ และความไร้เดียงสา เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและการตรัสรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง

การนำไปใช้: ได้รับความนิยมอย่างมากในการถวายพระ


ดอกบัวชมพู:

ความหมาย: ถือเป็น บัวที่ประเสริฐที่สุด และเป็นสัญลักษณ์แห่ง การตรัสรู้สูงสุด ของพระพุทธเจ้า มักเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์เอง ความศรัทธา และความสง่างาม

การนำไปใช้: นิยมนำมาบูชาพระพุทธรูป และเป็นที่นิยมรองลงมาจากดอกบัวขาว


ดอกบัวแดง:

ความหมาย: สื่อถึง ความรัก ความเมตตา กรุณา และความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น รวมถึงคุณสมบัติของหัวใจที่เปิดรับความเมตตาและกิริยาอันเป็นกุศล


ดอกบัวน้ำเงิน:

ความหมาย: สื่อถึง ปัญญา ความรู้ และชัยชนะของจิตใจเหนือประสาทสัมผัส หรือวัตถุทางโลก เป็นสัญลักษณ์ของความตื่นรู้ทางปัญญา


ดอกบัวม่วง:

ความหมาย: สื่อถึง ความลึกลับ ทางจิตวิญญาณ, การตรัสรู้ในระดับสูง และการสอนเชิงจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง


ดอกบัวเหลือง/ทอง:

ความหมาย: สื่อถึง ความสุข การเติบโตทางจิตวิญญาณ และการเปิดรับความคิดใหม่ๆ


จำนวนดอกบัวที่นิยมใช้:

นิยมถวายดอกบัวเป็นจำนวน 9 ดอก ซึ่งหมายถึง "ความเจริญก้าวหน้า" และเป็นเลขมงคลในความเชื่อไทย

การเลือกดอกบัวที่สด สมบูรณ์ และถวายด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ คือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำบุญบูชาพระค่ะ

10
การจัดฟันเด็ก ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป้นสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะพ่อแม่ ผู้ปกครองมีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะขณะที่เด็กอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านทั้งตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เด็กจะได้อยู่ร่วมกับพ่อแม่ที่บ้าน ดังนั้น พ่อแม่มีหน้าที่ส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันให้กับเด็ก อย่างเช่น การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย รวมไปถึงวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กมีปัญหาฟันผุ ตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่อยู่ในช่วงของการมีฟันน้ำนม พ่อแม่ส่วนใหญ่มองว่า ฟันน้ำนมของลูกนั้น ไม่มีความสำคัญ เพราะคิดว่า ยังไงก็ต้องหลุดออกไปและมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด


เพราะถ้าเด็กมีปัญหาฟันผุตั้งแต่ในช่วงฟันน้ำนม ก็อาจจะทำให้ฟันน้ำนมหลุกก่อนกำหนดได้ นั่นหมายความว่า จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ อาจจะทำให้ฟันมีลักษณะการขึ้นที่ผิดปกติ มีการสบฟันที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาในอนาคต เด็กบางคนมีปัญหาฟันรุนแรงมาก ซึ่งวิธรการแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ การเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นการจัดฟันในเด็กที่สามารถแก้ไขฟันได้แทบทุกกรณี และยังส่งผลดีต่อโครงสร้างของใบหน้าอีกด้วย และที่สำคัญช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว เพื่อให้บุตรหลานของท่านมีภูมิคุ้มกันและรู้จักวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง

วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของปัญหาฟันของลูกน้อยได้ แต่ก่อนอื่นเราจะมาอธิบายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กก่อนว่า ในปัจจุบันนี้เด็กในวัยประถมก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานของท่านที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น แนะนำให้พาเด็กอายุ 7-10 ปี ไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟัน เพราะหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว และเด็กในวัยนี้สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ในการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้เป็นอย่างดี


ทั้งนี้ การจัดฟันในเด็ก ยังสามารถช่วยทำให้ปัญหาในเรื่องของฟัน ลักษณะฟัน หรือแม้กระทั่งการสบฟันที่มีความผิดปกติที่อาจจะเกิดจากพฤติกรรมในวัยเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กที่มีอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน มีจุดประสงค์ในการจัดฟันก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไปได้ แต่ต้องบอกว่า เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้โต เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต หากปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะปัญหาในเรื่องของฟัน เราจะต้องรีบแก้ไข เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่อฟันบริเวณข้างเคียงได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจอยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านมาเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันเบื้องต้นได้ที่คลินิก  เพระทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมในเด็ก มีประสบการณ์ในวงการทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะทางเราให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง สามารถแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็กได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้ทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธีและสะอาดมากที่สุด เพราะเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกค้าทุกคน เพื่อที่จะได้มีช่องปากและฟันที่สะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

11
ข้อควรระวัง ในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน

ผู้ประกอบการโรงงานส่วนใหญ่ต่างตระหนักดีว่าการที่ปล่อยให้ธุรกิจดำเนินไปโดยไม่มี “ฉนวนกันความร้อนโรงงาน” นั้นในระยะยาวแล้วจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะมีความเสี่ยงทำให้โรงงานต้องสูญเสียพลังงานจำนวนมากจนต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เสี่ยงทำให้พนักงานประสบอุบัติเหตุ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ เสี่ยงทำให้เครื่องจักรชำรุดเสียหายไวกว่าอายุการใช้งาน ตลอดจนเสี่ยงเกิดถูกสั่งปิดโรงงานได้ถ้าถูกตรวจสอบพบว่าโรงงานสะสมความร้อนมากก่อนไป

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ประกอบการจะวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานแล้ว ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังเอาไว้ได้เช่นกัน โดยข้อควรระวังในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน เพื่อให้การติดตั้งฉนวนกันความร้อนมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น มีดังต่อไปนี้

1.ระวังอย่าติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานโดยไม่สำรวจพื้นที่โดยละเอียด

โดยธรรมชาติแล้วเมื่อเกิดความร้อนสะสมภายในโรงงานขึ้นจนรู้สึกได้นั้น เรามักจะโฟกัสไปว่าเป็นเพราะความร้อนจากเครื่องจักร หรือว่าความร้อนจากห้องใดห้องหนึ่งที่ทำกิจกรรมที่ปล่อยความร้อนสะสมออกมาเป็นจำนวนมากที่สุด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ว่าบางที จุดเกิดความร้อนสะสมที่เรามองเห็นนั้น อาจไม่ใช่แค่จุดเดียวก็ได้ กล่าวคือ ยังอาจมีจุดสะสมความร้อนอื่น หรือแหล่งกำเนิดความร้อนอื่นอีกได้

ยกตัวอย่างเช่น ความร้อนสะสมที่ผ่านเข้ามาทางหลังคาโรงงาน ความร้อนสะสมที่ถูกปล่อยออกมาจากระบบปรับอากาศภายในโรงงาน เป็นต้น จะเห็นได้ว่านอกจากห้องเครื่องจักร ท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ห้องที่ทำงานโดยใช้อุณหภูมิสูงแล้ว ก็ยังมีอีกหลายจุดที่เป็นแหล่งกำเนิดหรือทางผ่านของความร้อนรวมอยู่ด้วย ดังนั้น หากไม่ได้ทำการสำรวจให้ดีล่ะก็ จะเท่ากับว่า เราติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานไม่ครบทุกจุด ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ดีมากพอนั่นเอง เนื่องจากยังมีอีกหลายจุดที่ต้องแก้ไขแต่ไม่ได้รับการแก้ไข


2.ระวังเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ไม่มีคุณภาพ

หัวใจสำคัญของการติดตั้งติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานให้สามารถลดความร้อนสะสมภายในโรงงานได้จริงแบบเห็นผลนั้น คือ การเลือกฉนวนกันความร้อนโรงงานที่มีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนได้สูง ซึ่งแนวทางในการเลือก ก็คือ ควรเลือกฉนวนกันความร้อนที่มีความหนาเพียงพอ เพราะหากฉนวนกันความร้อนบางเกินไป ความสามารถในการกันความร้อนก็จะต่ำ

ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องเรื่องฉนวนกันความร้อนโรงงานที่มี “ค่าการกันความร้อน” ให้สูงเข้าไว้ ยิ่งค่ากันความร้อน หรือค่าการต้านทานความร้อนสูงเท่าไร ก็เท่ากับว่าฉนวนกันความร้อนนั้นจะช่วยป้องกันความร้อนได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย ก็เช่น ฉนวนกันความร้อนโรงงาน

ซึ่งนอกจากจะเป็นฉนวนกันความร้อนที่มีความหนาเหมาะสม มีค่าการกันความร้อนสูงแล้ว ยังเป็นฉนวนกันความร้อนที่ทำมาจากฉนวนใยแก้ว มีความปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะเสริมสร้างประสิทธิภาพการกันความร้อนได้ดีและไม่เป็นอันตรายต่อพนักงานและชุมชนในพื้นที่ด้วย


3.ระวังการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานโดยช่างไม่เชี่ยวชาญ

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การจะติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานให้ได้ผลนั้นจะต้องสำรวจหน้างานจริง ตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียดของโรงงานให้ครบทุกตารางเมตรเสียก่อน ซึ่งถ้าไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบโดยทีมงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาความร้อนสะสมภายในโรงงานโดยเฉพาะ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะไม่ทราบสาเหตุของจุดสะสมความร้อนที่แท้จริงอย่างครบถ้วน

ในขณะเดียวกันเมื่อต้องเลือกซื้อฉนวนกันความร้อนมาใช้งาน ตลอดจนการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานในจุดต่าง ๆ หากไม่ได้ทำโดยผู้เชี่ยวชาญโดยตรง โอกาสเกิดความผิดพลาด เลือกฉนวนกันความร้อนผิด ไม่เหมาะสมกับโรงงาน ก็จะส่งผลให้การลงทุนติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ตั้งใจนี้เป็นการเสียเปล่า ที่ไม่สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง แถมยังต้องเสียเวลาและงบประมาณเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาอีกด้วย ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงาน จึงควรดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงโดยเฉพาะตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่ได้รับการให้คำปรึกษา

ปัญหาในการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานที่พบได้บ่อยนั้น ส่วนใหญ่ก็มาจาก 3 เรื่องที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวคือหากผู้ประกอบการไม่ได้ระมัดระวัง ให้ความสำคัญกับเรื่องการตรวจสอบพื้นที่ การเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนคุณภาพ และการติดตั้งโดยผู้เชี่ยชาญแล้วล่ะก็ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่สุดการติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะไม่ได้ผล

12
ปล่อยรถราคาพิเศษ BMW 330e M Sport Plug-in Hybrid ปี 2023 มีโปรโมชั่นพิเศษมากมาย

BMW 330e M Sport Plug-in Hybrid ปี 2023 เป็นส่วนหนึ่งของ BMW 3 Series G20 (โฉมปัจจุบัน) ที่ได้รับการปรับโฉม (LCI - Life Cycle Impulse) โดยเฉพาะรุ่นปี 2023 นี้ ได้รับการอัปเกรดในหลายจุดเพื่อให้ทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยการผสมผสานสมรรถนะการขับขี่สไตล์ BMW เข้ากับประสิทธิภาพของระบบ Plug-in Hybrid

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 10 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
Warranty / Bsi ถึง 03/2028
Service ตามระยะ

ราคาพิเศษ 1,920,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

สมรรถนะ Plug-in Hybrid:

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
กำลังรวมสูงสุด (System Output): 215 kW (292 แรงม้า)
แรงบิดรวมสูงสุด (System Torque): 420 นิวตันเมตร
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 จังหวะ พร้อม Paddle Shift
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: ประมาณ 5.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 230 กม./ชม.


13
หมอออนไลน์: ผมร่วงเนื่องจากผมหยุดเจริญชั่วคราว

ปกติเส้นผมของคนเรามีอายุนาน 2-6 ปี แล้วจะหยุดการเจริญงอกงาม ในแต่ละวันจะมีเส้นผมประมาณ 100 เส้นที่เสื่อมและหลุดร่วงไป

แต่ในบางภาวะ เส้นผมที่กำลังเจริญอาจหยุดการเจริญในทันที ทำให้มีเส้นผมเสื่อมและหลุดร่วงเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการผมร่วงมากกว่าปกติได้

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้ผมหยุดการเจริญชั่วคราวที่พบได้บ่อย เช่น

    ผู้หญิงหลังคลอด ผมมักร่วงหลังคลอดประมาณ 3 เดือน (ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นเพราะลูกจำหน้าแม่ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง) เนื่องจากขณะคลอดเส้นผมบางส่วนเกิดหยุดการเจริญในทันที ต่อมาอีก 2-3 เดือน ผมเหล่านี้ก็จะร่วง
    ทารกแรกเกิดอาจมีอาการผมร่วงในระยะ 1-2 เดือนแรก แล้วจะค่อย ๆ มีผมงอกขึ้นใหม่
    เป็นไข้สูง เช่น ไข้รากสาดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะมีอาการผมร่วง (หัวโกร๋น) หลังเป็นไข้ ประมาณ 2-3 เดือน
    ได้รับการผ่าตัดใหญ่
    เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร เป็นต้น
    การเสียเลือด การบริจาคเลือด
    การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด อัลโลพูรินอล โพรพิลไทโอยูราซิล เฮพาริน เป็นต้น
    ภาวะเครียดทางจิตใจ เช่น ตกใจ เสียใจ เศร้าใจ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ (มากกว่าวันละ 100 เส้น) ลักษณะร่วงทั่วศีรษะ ซึ่งมักจะมีอาการตามหลังสาเหตุเหล่านี้ประมาณ 2-3 เดือน และอาจจะเป็นอยู่นาน 2-6 เดือน ก็จะหายได้เองอย่างสมบูรณ์

ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ผมร่วง ถ้าเกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

ถ้ามีสาเหตุชัดเจน (เช่น หลังคลอด หลังผ่าตัด จิตใจเครียด) ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ และรอให้ผมงอกขึ้นใหม่

ถ้าไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการตรวจสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

หากมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ หรือสงสัยอาจเกิดจากโรคบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเกิดจากการเจ็บป่วย ก็ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุ ถ้าเกิดจากความเครียดทางจิตใจ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะหาทางป้องกันสาเหตุเหล่านี้

14
ต้องแปรงฟันหรือดูแลช่องปากอย่างไร เมื่อเด็กต้องเข้ารับการจัดฟันเด็ก

การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปกและฟัน ถือว่าเปานกิจวัตรประวันที่เราต้องทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน การมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็ถือว่าช่วยทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมั่นใจมากขึ้น เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็ควรที่จะดูแลสุขภาพปากและฟันของตัวคุณเองที่ดี เพื่อแสดงให้เด็กเห็นว่าสุขภาพปากและฟันเป็นสิ่งที่มีค่า และดียิ่งขึ้นถ้าคุณช่วยสร้างบรรยากาศให้กับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นเรื่องสนุก เช่น การแปรงฟันไปกับลูกของคุณ การให้เด็กเลือกแปรงสีฟันด้วยตนเอง ก็เป็นการช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างเหมาะสมกับเด็กได้ การปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการดูแลรักษาฟัน จะช่วยให้เด็กได้เข้าใจว่า การที่เรามีฟันที่แข็งแรงนั้น ก็จะช่วยทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น การปลูกฝังหรือสร้างทัศนคติที่ดี จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในวัยเด็ก เมื่อเราปลูกฝังอะไรเข้าไป เด็กก็จะรับรู้และเอาไปเป็นตัวอย่าง โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง อาจจะเริ่มต้นด้วยการแปรงฟันให้ลูกดูอย่างถูกวิธี สอนให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันในเด็กได้แล้ว

นอกจากนี้ หากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการแก้ไขทันทีไม่ควรปล่อยไว้ให้ปัญหาฟันลุกลามจนอาจจะทำให้เกิดผลเสียได้ หากลูกมีความผิดปกติเกี่ยวกับรูปร่างฟัน การขึ้นของฟัน ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ แต่หลายคนอาจจะยังมีความกังวลที่ว่า เมื่อเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว ในเรื่องของของการแปรงฟัน หรือการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ควรจะดูแลอย่าไร เพื่อไม่ให้เด็กมีฟันผุ เพราะหลายคนอาจจะคิดว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้น ดุแลรักษาความสะอาดยาก ทั้งเรื่องของการรับประทานอาหารและการแปรงฟัน อาจจะทำให้เด็กไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างทั่วถึง

ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการทำความสะอาดและการดูลสุขภาพช่องปากและฟัน เมื่อเด็กต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สำหรับเรื่องของการแปรงฟันในเด็กที่เข้ารับการจัดฟันนั้น เด็กสามารถการแปรงฟันได้เช่นเดิม แต่ต้องมีการแปรงที่ตัวฟันเพิ่มมากขึ้น เช่น ควรที่จะใช้ไหมขัดฟันร้อยไปตามตัวลวดแล้วขัดฟัน ต่อมาจากนั้น แปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดขอบข้างของเครื่องมือจัดฟัน การแปรงลิ้น และทำความสะอาดกระพุ้งแก้ม ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่อาจจะคอยให้คำแนะนำระหว่างที่เด็กกำลังแปรงฟันได้ เพื่อสอนให้เด็กแปงฟันได้อย่างทั่วถึงและสะอาด เพราะเครื่องมือการจัดฟัน อาจจะทำให้เด็กแปรงฟันได้ยากกว่าเดิม หรือควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เพื่อเป็นการขจัดเชื้อโรคไปด้วย แล้วจึงแปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่ม โดยเลือกขนาดของแปรงให้เหมาะกับช่องปากและฟัน สำหรับยาสีฟัน ควรใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ และแนะนำให้แปรงแห้งคือ บ้วนปาก บีบยาสีฟันแล้วแปรง บ้วนยาสีฟันส่วนเกินออก หลังแปรงไม่บ้วนปาก เพราะจะทำให้ฟลูออไรด์ส่วนที่มากับยาสีฟันจะได้จับกับตัวฟันได้ดีนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกคองที่ควรเอาใจใส่ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่เด็กจะได้มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมัทนตแพทย์ที่มีคงวามเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก จึงคอยให้คำแนะนำในเรื่องของการแปรงฟัน การดูแลรักษาฟันได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ทันตแแพทย์ของเรายังมีประสบการณ์ด้านทันตกรรมครบจรมาอย่างยาวนาน จึงทำให้สามารถรักษาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมั่นจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่าแน่นอน เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป้นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

15
หมอประจำบ้าน: สครับไทฟัส (Scrub typhus)

สครับไทฟัส* เป็นโรคที่แพร่เชื้อมาจากสัตว์ พบบ่อยในพื้นที่ชนบทและป่าเขา ในบ้านเรามีรายงานโรคนี้ประมาณปีละ 3,000-4,000 ราย พบได้ทุกภาคของประเทศ

มักพบในกลุ่มชาวไร่ ชาวสวน นักล่าสัตว์ ทหาร นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่ออกไปตั้งค่ายในป่า

โรคนี้ชาวบ้านบางแห่งเรียกว่า ไข้แมงแดง

*ไทฟัส (typhus) หรือไข้รากสาดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อริกเกตเซีย (rickettsia) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ในที่นี้จะกล่าวถึงชนิดที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ สครับไทฟัส

นอกจากนี้ ยังอาจพบมิวรีนไทฟัส (murine typhus หรือ endemic typhus) ที่พบมากทางภาคใต้ เกิดจากเชื้อริกเกตเซียไทฟิ (Rickettsia typhi) ซึ่งมีหมัดหนู (rat flea) เป็นพาหะ มักมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีผื่นขึ้น โดยไม่มีสะเก็ดแผลไหม้แบบสครับไทฟัส อาจมีอาการตับโต ม้ามโต และอาการทางระบบประสาท (เช่น ซึม ชัก) ประมาณร้อยละ 10 อาจมีอาการรุนแรง ซึ่งอาจเสียชีวิตจากภาวะไตวาย การหายใจล้มเหลว ช็อก ภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ให้การรักษาแบบเดียวกับสครับไทฟัส

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อริกเกตเซีย ที่มีชื่อว่า โอเรียนเทียซูซูกามูชิ (Orientia tsutsugamushi ซึ่งเดิมเรียกว่า Rickettsia tsutsugamushi หรือ Rickettsia orientalis) โดยมีไรอ่อน (chigger หรือ laval-stage trombiculid mites) เป็นพาหะนำโรค ระยะฟักตัว 4-18 วัน

ตัวไรแก่อาศัยอยู่บนหญ้าและวางไข่บนพื้นดิน ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนที่มี 6 ขาและมีสีแดง ไรอ่อนจะกระโดดเกาะสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์แทะ นก หรือผู้ที่เดินผ่านไปมาเพื่อดูดน้ำเหลืองเป็นอาหาร ถ้าคนหรือสัตว์มีเชื้อริกเกตเซียชนิดนี้อยู่ เชื้อก็จะเข้าไปอยู่ในลำไส้และต่อมน้ำลายของไรอ่อน แล้วเจริญแบ่งตัวในขณะที่ไรอ่อนกลายเป็นตัวแก่ ตัวแก่เมื่อวางไข่ก็จะมีเชื้อโรคแพร่ติดอยู่ เมื่อฟักเป็นไรอ่อนก็จะเป็นไรอ่อนที่มีเชื้อโรค เมื่อไปกัดคนหรือสัตว์ก็จะแพร่เชื้อให้คนหรือสัตว์นั้นต่อไป

ในบ้านเราสัตว์ที่เป็นรังโรค (มีเชื้อโรคในร่างกาย) คือ หนูเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยอาจพบในกระแต และ กระจ้อน

สัตว์ที่เป็นรังโรคและไรอ่อนที่เป็นพาหะนำโรค อาจอยู่ตามพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ ทุ่งหญ้าคา ไร่พริก สวนยาง พุ่มไม้เตี้ย ๆ และป่าสูง ซึ่งมีอยู่แทบทุกภาคของประเทศ


อาการ

หลังถูกไรอ่อนกัด 4-18 วัน จะมีอาการปวดศีรษะที่ขมับและหน้าผาก และจับไข้หนาวสั่น ไข้สูงตลอดเวลา (ไข้อาจเป็นอยู่นาน 2-3 สัปดาห์) หน้าแดง ตาแดง และกลัวแสง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องผูก

บริเวณที่ถูกกัดจะเจ็บ และมีรอยไหม้ดำเหมือนถูกบุหรี่จี้ รอบ ๆ แผลจะมีอาการบวมแดงแต่ไม่เจ็บ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. และเป็นอยู่นาน 1-3 สัปดาห์ พบได้ประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วย มักจะพบที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ก้น อวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ ๆ จะโตและเจ็บด้วย

ประมาณวันที่ 5-7 หลังมีไข้จะมีผื่นสีแดงคล้ำขึ้นที่ลำตัวก่อน แล้วกระจายไปแขนขา ผื่นจะมีอยู่ 3-4 วันก็หายไป

ผู้ป่วยอาจมีอาการไอร่วมด้วย จากการอักเสบของเนื้อปอด


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจถ่ายอุจจาระดำ เพ้อคลั่ง หมดสติ หัวใจวาย (กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ) สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (ARDS) ไตวายเฉียบพลัน หรือภาวะช็อกจากโลหิตเป็นพิษ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้สูง อาจพบต่อมน้ำเหลืองโตทั่วไป ตับโต ม้ามโต รอยแผลไรกัดลักษณะเหมือนถูกบุหรี่จี้ เรียกว่า สะเก็ดแผลไหม้ หรือ เอสคาร์ (eschar)

อาจพบผื่นแดงตามผิวหนัง (ขึ้นประมาณวันที่ 6 ของไข้) ดีซ่าน หรือคอแข็ง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการทดสอบทางน้ำเหลืองด้วยวิธี indirect immunofluorescence assay (IFA), indirect immunoperoxidase assay (IIP) หรือ dot-ELISA (ซึ่งทำเป็นชุดตรวจสำเร็จรูป หรือ dipstick test)

บางรายอาจตรวจด้วยวิธี polymerase chain reaction (PCR)

นอกจากนี้ อาจทำการตรวจปัสสาวะ เจาะเลือด ตรวจการทำงานของตับ เอกซเรย์ และตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล แพทย์จะวินิจฉัย

1. ถ้าอาการไม่รุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เตตราไซคลีน คลอแรมเฟนิคอล หรือดอกซีไซคลีน

ในหญิงตั้งครรภ์หรือเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือในรายที่ดื้อต่อยาดังกล่าว ก็จะให้ยาปฏิชีวนะอื่น เช่น อะซิโทรไมซิน ไรแฟมพิซิน

2. ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หอบ หัวใจวาย ไตวาย ช็อก ชัก หรือหมดสติ จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง ร่วมกับอาการหนาวสั่น, มีไข้นานเกิน 7 วัน, หรือ มีไข้ร่วมกับมีรอยไหม้ดำเหมือนถูกบุหรี่จี้ที่รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ก้น หรืออวัยวะเพศ  ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นสครับไทฟัส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีภาวะช็อก (ซึม กระสับกระส่าย ตัวเย็น หน้ามืด เป็นลม)
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย
    ถ่ายอุจจาระดำ
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ถ้าจะออกไปตั้งค่ายในป่า พยายามอย่าเข้าไปในพุ่มไม้ บริเวณที่ตั้งค่ายควรถางให้โล่งเตียน ควรพ่นยาฆ่าไรบนพื้นดิน และไม่ควรนั่งหรือนอนอยู่กับที่นาน ๆ ควรใส่เสื้อผ้ารัดกุมและทายาป้องกัน

2. กินยาป้องกัน โดยกินดอกซีไซคลีน 200 มก. สัปดาห์ละครั้ง ระหว่างที่อยู่ในพื้นที่ที่มีโรคนี้อยู่ โดยให้เริ่มกินครั้งแรกก่อนเดินทาง 3 วัน และกินต่อจนกระทั่ง 6 สัปดาห์หลังเดินทางกลับออกมาแล้ว


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักมีไข้สูง หนาวสั่น อาจมีไข้นาน 2-3 สัปดาห์ ตาแดงและมีผื่นขึ้น อาการเหล่านี้มีลักษณะคล้ายมาลาเรีย ไทฟอยด์ เล็ปโตสไปโรซิส ไข้เลือดออก และหัด

แต่ลักษณะเฉพาะของโรคนี้ คือ มีประวัติเดินทางไปต่างจังหวัด หรือเข้าไปในป่า ในสวนหรือในไร่ และอาจพบสะเก็ดแผลไหม้จากไรกัด มีลักษณะไหม้ดำเหมือนถูกบุหรี่จี้

ดังนั้นเมื่อพบผู้ที่เป็นไข้โดยยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ควรค้นหารอยแผลไรกัด โดยถามผู้ป่วยว่ามีแผลตามร่างกายหรือไม่ และตรวจดูตามผิวหนังอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรักแร้ ขาหนีบ รอบเอว ก้น อวัยวะเพศ

2. โรคนี้เมื่อได้รับการรักษา ไข้มักจะลดลงภายใน 24-72 ชั่วโมง และจะหายขาดโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนแต่อย่างใด แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา บางรายอาจหายได้เอง โดยจะมีไข้อยู่นาน 2-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง โรคนี้มีอัตราตายประมาณร้อยละ 10-30

หน้า: [1] 2 3 ... 53
ลงประกาศฟรี ติด google ลงโฆษณา ขายของ ฟรี โพสต์ฟรี ลงประกาศฟรี ขายฟรี ขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google